
สถานที่พบ คาร์โนทอรัส สัตว์กินเนื้อจากอเมริกาใต้
- Chono
- 47 views
สถานที่พบ คาร์โนทอรัส ไดโนเสาร์นักล่าจากกลุ่มเทอโรพอด ที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุคครีเทเชียส เมื่อประมาณ 72-69 ล้านปีก่อน มีการค้นพบสกุลเพียงชนิดเดียว และฟอสซิลตัวอย่างถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี จนนำไปสู่การศึกษา และการทำความเข้าใจของนักบรรพชีวินวิทยา
สำหรับ สถานที่พบ คาร์โนทอรัส (Carnotaurus) ถูกพบที่ซีกโลกใต้ ซึ่งโครงกระดูกเพียงชิ้นเดียวนี้ พบโดยนักบรรพชีวินวิทยาชาวอาร์เจนตินา โจเซ เฟอร์นันโด โบนาปาร์ต ในปี 1984 การสำรวจในครั้งนี้ ถือเป็นการกู้ซาก Amargasaurus หนึ่งในสายพันธุ์ไดโนเสาร์มีหนามแหลม และเป็นการสำรวจครั้งที่ 8 ของโครงการ
ฟอสซิลที่ถูกค้นพบในจังหวัดชูบุตของอาร์เจนตินา พบในกลุ่มหินลาโกโลเนีย จากข้อมูลการศึกษาของนักบรรพชีวินวิทยา พบว่าพวกมันเป็นสกุลแยกออกจากกลุ่ม Abelisauridae กลุ่มเทอโรพอดขนาดใหญ่ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางใต้ของกอนด์วานา ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส พวกมันเป็นสกุลที่มีจมูกสั้นเฉพาะกลุ่ม
โครงกระดูกตัวอย่างดังกล่าว ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ใกล้กับ Bajada Moreno สำหรับชื่อของไดโนเสาร์ชนิดนี้ Carnotaurus มาจากภาษาละติน แปลว่า วัวกินเนื้อ เป็นการกล่าวถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่คล้ายกับวัว และเป็นการยกย่องชื่อของเจ้าของฟาร์ม ที่เป็นผู้ที่ค้นพบตัวอย่างนี้เป็นคนแรก [1]
ข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากค้นพบฟอสซิล
ที่มา: Quick facts about Carnotaurus [2]
สำหรับการกระจายตัวของฟอสซิลไดโนเสาร์ชนิดนี้ ส่วนใหญ่มาจากโครงสร้างทางธรณีวิทยา ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มาจากอเมริกาใต้ โดยเฉพาะตัวอย่างฟอสซิลในประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งมีการบันทึกการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ในช่วงปลายยุคครีเทเชียสไว้เป็นอย่างดี รวมไปถึงแหล่งฟอสซิลที่สำคัญ
โครงสร้างของบาโฮเดลาคาร์ปา ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตะกอน ที่เผยให้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย และการเจริญเติบโตของไดโนเสาร์ชนิดนี้ นอกจากบันทึกฟอสซิล ยังระบุว่าพวกมันเคยอยู่ร่วมกับสัตว์นักล่าขนาดใหญ่ และสัตว์กินพืชชนิดอื่นๆ ทำให้มันมีบทบาทในระบบนิเวศ
และความเข้าใจในเชิงชีววิทยาโบราณ เปิดเผยให้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการปรับตัว และช่องทางนิเวศของพวกมัน ในช่วงยุคครีเทเชียสตอนปลาย พวกมันแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวทางวิวัฒนาการ เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คาร์โนทอรัส กลายเป็นนักล่าที่เก่งกาจมากที่สุด ในช่วงเวลาที่พวกมันมีชีวิต
สำหรับเจ้าวัวกินเนื้อขนาดใหญ่ชนิดนี้ พวกมันถือเป็นไดโนเสาร์เทอโรพอดขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเทียบเท่ากับ ฟอสซิล ทีเร็กซ์ มีความยาวประมาณ 7-9 เมตร (23-30 ฟุต) และมีน้ำหนักระหว่าง 1.3-2 ตัน พวกมันมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างแปลก มีเขาประหลาดงอกออกมาเหนือดวงตา และยังมีความใกล้ชิดกับมาจุงกาซอรัส
กะโหลกศีรษะมีความยาว 69.6 เซนติเมตร มีลักษณะที่สั้นและลึก ตามสัดส่วนของร่างกาย เมื่อเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่น จมูกค่อนข้างสั้นและกว้าง เขาที่อยู่เหนือดวงตาของมัน มีลักษณะหนาและเป็นทรงกรวย มีหน้าตัดแบนเล็กน้อย เมื่อพวกมันเติบโตเต็มวัย เขานี้อาจยาวได้ถึง 15 เซนติเมตร
ส่วนในของผิวหนังของพวกมันนั้น มีการระบุโครงกระดูกที่เกือบสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงรอยพิมพ์ผิวหนังขนาดใหญ่ ซึ่งปกคลุมศีรษะ แขน ลำตัว และขาของมัน ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจผิวหนังของมันได้อย่างชัดเจน ผิวหนังอาจเป็นเกล็ดกลมๆ ที่ไม่ซับซ้อนกัน และผิวหนังที่อยู่เหนือศีรษะของมัน ยังไม่ได้รับการอธิบาย
สำหรับในช่วงเวลาที่พวกมันมีชีวิต ย้อนกลับไปในยุคครีเทเชียสตอนปลาย เวลานั้น โลกกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทวีปต่างๆ เคลื่อนตัวออกจากกัน และสภาพอากาศเริ่มเย็นลง แต่ไดโนเสาร์ก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้ คาร์โนทอรัสก็เป็นอีกหนึ่งประเภทสัตว์กินเนื้อ ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้เช่นกัน
การเป็นนักล่าและกินเนื้อกินอาหาร ทำให้มันมีข้อได้เปรียบหลายๆ ด้าน เช่น ความเร็วในการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่งทำให้มันสามารถล่าเหยื่อขนาดเล็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีกลยุทธ์การล่าที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้มันเป็นนักล่าที่น่าเกรงขาม ออกล่าเหยื่อพึ่งพาความเร็วของ 2 ขาหลังของมัน
สำหรับตัวอย่างฟอสซิลที่พบในอเมริกาใต้ ก็ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากตัวอย่างเดิมมากนัก มีแนวโน้มว่าพวกมันอาศัยในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น หรือป่าฝน สภาพแวดล้อมในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้มีพืชพรรณที่อุดมสมบูรณ์ ตามมาด้วยสัตว์กินพืช และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งอาหารที่สำคัญของคาร์โนทอรัส [3]
ที่มา: In popular culture [4]
ข้อสรุปหลังจากมีการค้นพบฟอสซิล ในสถานที่ของทวีปอเมริกาใต้ ถึงแม้ว่าจะมีการพบเพียงตัวอย่างเดียวก็ตาม แต่นักบรรพชีวินวิทยา ก็สามารถศึกษาและทำการวิจัย จนนำไปสู่โครงสร้างทางร่างกายที่โดดเด่นของมัน และยังทำให้มันมีบทบาทสำคัญในด้านสื่อวัฒนธรรมสมัยใหม่อีกด้วย
ข้อมูลในนวนิยาย The Lost World โดยเป็นภาคต่อของภาพยนตร์ Jurassic Park เผยข้อมูลว่าพวกมันมีความสามารถในการปลอมตัว หรือเปลี่ยนสีผิวได้เหมือนกิ้งก่า แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถเหล่านี้
สำหรับไดโนเสาร์นักล่า ที่มีร่างกายเพรียวเบา ขายาว ทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าพวกมัน อาจเป็นไดโนเสาร์ที่วิ่งได้เร็วมากที่สุด ในช่วงเวลาของยุคครีเทเชียส ซึ่งอาจมีความเร็วประมาณ 48-56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้เร็วกว่าทีเร็กซ์