
รูปลักษณ์ เมกะโลซอรัส กิ้งก่ายักษ์จากยุคจูราสสิก
- Chono
- 11 views
รูปลักษณ์ เมกะโลซอรัส ไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ที่สูญพันธุ์ไปเมื่อยุคจูราสสิกตอนกลาง ประมาณ 166 ล้านปีก่อน มีการค้นพบฟอสซิล ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ซากดึกดำบรรพ์ของพวกมัน ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่มากที่สุด ซึ่งเราจะพาไปดูรูปลักษณ์ และประวัติการพบฟอสซิล ดังหัวข้อต่อไปนี้
รูปลักษณ์ เมกะโลซอรัส หลังจากที่มีการค้นพบฟอสซิล นักธรรมชาติวิทยากลุ่มแรก ยังเกิดความสับสนหลังจากที่มีการศึกษา และยังมีการเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นกิ้งก่ายักษ์ โดยมีความยาว 20 เมตร ต่อมาในปี 1842 ก็ได้มีการสรุปความยาวของฟอสซิล ที่คิดว่าไม่เกิน 9 เมตร และคิดว่ามันอาจมีพฤติกรรมเดิน 4 เท้า
ต่อมางานศึกษาของนักวิจัยสมัยใหม่ ได้ให้ข้อมูลที่เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์เครือญาติ ที่อยู่ในตระกูล Megalosauridae พบว่าพวกมันมีความยาวประมาณ 6 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 700 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมที่เดินด้วยสองขาหลัง ลำตัวและหางสมดุลตามแนวนอน
ขาหน้าของมันสั้นกว่าขาหลัง แต่ก็ยังคงความแข็งแรง มันมีศีรษะค่อนข้างใหญ่ ฟันโค้งยาว โดยทั่วไปแล้ว มันเป็นสัตว์ที่มีความแข็งแรง และมีกล้ามเนื้อมหาศาล ในช่วงเวลาที่มันอาศัยอยู่ในยุโรป ที่เป็นหมู่เกาะที่ก่อตัวจากเทือกเขา ซึ่งน่าจะทำให้มันเป็นนักล่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อยู่ร่วมกับไดโนเสาร์ชนิดอื่นๆ [1]
การศึกษาและการค้นพบฟอสซิลครั้งแรก ที่เกี่ยวข้องกับไดโนเสาร์ชนิดนี้ เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ในช่วงเวลานั้น ยังไม่มีใครรู้ว่าไดโนเสาร์คืออะไร และยังไม่สามารถระบุได้ว่า ใครเป็นผู้ค้นพบคนแรก ซากฟอสซิลต่างที่ค้นพบนั้น ประกอบไปด้วย ฟันหนึ่งซี่ กระดูกขา และชิ้นส่วนขากรรไกรล่าง
ผู้คนมากมายต่างเกิดข้อสงสัย หลังจากที่มีการค้นพบฟอสซิล ตัวอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ ถูกค้นพบในบริเวณรอบเมืองออกซ์ฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ และยังคงมีการพบฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง ในช่วงต้นปี 1800 จนกระทั่งในปี 1818 วิลเลียม บัคลลันด์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้เริ่มศึกษากระดูกเหล่านี้
จากการช่วยเหลือของนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน รวมถึงผู้ที่มีความชำนาญจากฝรั่งเศส จอร์จ คูเวียร์ ทำให้วิลเลียมจึงเกิดแนวคิดที่ว่า นี่อาจเป็นกระดูกของสัตว์ประเภทกิ้งก่าขนาดใหญ่ เดินสี่ขา จนกระทั่งเมื่อ 200 ปีก่อน เขาก็ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับฟอสซิลเหล่านี้ พบว่ามันเป็นสัตว์ที่เดินด้วยขาหลัง ไม่ได้เดินสี่ขาอย่างที่เคยคิดไว้ [2]
ที่สำคัญ มันเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ยุคแรก ที่ถูกจัดแสดงให้สาธารณชนได้รับชม นิทรรศการคริสตัลพาเลซ ปี 1851 ในลอนดอน “งานแสดงสินค้าโลก” ผู้ชมสามารถเข้ามาชมโมเดลไดโนเสาร์ชนิดยักษ์ ที่มีขนาดเทียบเท่ากับของจริง หลังจากพระราชวังได้ย้ายไปยังอีกส่วนหนึ่งของลอนดอน ปี 1854
เมกะโลซอรัสมีขนาดเพียงหนึ่งในสี่ของทีเร็กซ์ หลังจากที่มีการค้นพบ ฟอสซิล ทีเร็กซ์ เมกะโลซอรัสเป็นไดโนเสาร์ที่อ่อนแอ เมื่อเทียบกับไดโนเสาร์กินเนื้อในยุคมีโซโซอิกตอนปลาย ซึ่งมีความยาวเพียงครึ่งหนึ่งของไทรันโนซอรัสเร็กซ์ และมีน้ำหนักเพียงหนึ่งในแปดของไทรันโนซอรัส
แต่ในความเป็นจริง นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษในยุคแรก ที่ได้พบเจอฟอสซิลไดโนเสาร์ ที่มีขนาดเทียบเท่ากับทีเร็กซ์จริงๆ และนั่นอาจส่งผลต่อมุมมองของพวกเขา เกี่ยวกับวิวัฒนาการ ของไดโนเสาร์ในช่วงเวลาต่อมา จนนำไปสู่การจัดกลุ่มสายพันธุ์ใหม่ และกลุ่มย่อยในตระกูลเทอโรพอด
ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าไดโนเสาร์ที่มีความใกล้ชิดมากที่สุด นั่นก็คือ Torvosaurus ซึ่งมีขนาดที่ใกล้เคียงกับเมกะโลซอรัส เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ไดโนเสาร์ไม่กี่ชนิด ที่ถูกค้นพบในประเทศโปรตุเกส แต่ที่เป็นเรื่องตลกหลังจากค้นพบฟอสซิล นั่นก็คือพวกมันไม่เคยถูกจัดให้เป็นประเภทเดียวกันกับ Megalosauru [3]
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 176-161 ล้านปีก่อน ในช่วงประวัติศาสตร์โลก ยังอยู่ในช่วงยุคจูราสสิก มีการค้นพบฟอสซิลซากดึกดำบรรพ์ของพวกมัน ในประเทศอังกฤษและแอฟริกา ในส่วนของสภาพแวดล้อมที่พวกมันอาศัยอยู่นั้น เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างที่จะมีอากาศร้อนชื้น
พื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าไม้ ต้นไม้สูงหลายชนิด รวมถึงต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับต้นซีควอเอียยักษ์ในยุคปัจจุบัน และยังเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็ก ได้แก่ ต้นปาล์ม เฟิร์นต้น และแปะก๊วย พืชที่อยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ เฟิร์นหางม้า พวกมันใช้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณหลากหลายชนิด เพื่อเข้าถึงแหล่งอาหาร อย่างเช่นสัตว์กินพืช
ที่มา: In the Media [4]
จากการค้นพบฟอสซิล และการศึกษาของนักธรรมชาติวิทยา พบว่าพวกมันมีรูปร่างที่น่าเกรงขาม ขนาดร่างกายใหญ่โต และเป็นหนึ่งในสายพันธุ์นักล่า ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร ในช่วงเวลาที่มันอาศัยอยู่ในยุคจูราสสิกตอนกลาง และด้วยรูปลักษณ์ที่มีความโดดเด่น ทำให้มันมีบทบาทในสื่อสมัยนิยมหลายช่องทาง
ถึงแม้ว่าจะยังไม่ปรากฏข้อมูลที่แน่ชัด เนื่องจากไม่มีฟอสซิลรอยเท้าที่สมบูรณ์ ในการวิเคราะห์โดยตรง แต่จากการศึกษาโครงสร้างร่างกาย และเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์นักล่าชนิดอื่น ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์ความเร็วในการวิ่งของมัน ประมาณ 30-35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผู้ที่คิดค้นชื่อให้กับไดโนเสาร์ชนิดนี้ นั่นก็คือ ชาร์ลส์ ดิกเกนส์ ในนวนิยายเรื่อง Bleak House ปี 1853 ชื่อของมันมีความหมายว่า “กิ้งก่ายักษ์” ได้รับการศึกษารายละเอียดโดย ริชาร์ด โอเวน และนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษคนอื่นๆ ก็ได้มีการเสนอชื่อในสมัยนั้นเช่นกัน