
การค้นพบ ไดโลโฟซอรัส นักล่าที่มีแผงหงอนหลังศีรษะ
- Chono
- 22 views
การค้นพบ ไดโลโฟซอรัส สายพันธุ์ไดโนเสาร์นักล่า ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงต้นยุคจูราสสิก ย้อนไปเมื่อประมาณ 186 ล้านปีก่อน ด้วยลักษณะที่โดดเด่นของร่างกาย ทำให้มันมีบทบาทในด้านวัฒนธรรมสมัยนิยม จากการค้นพบฟอสซิลครั้งแรก และการศึกษาทางลักษณะกายวิภาค ทำให้เกิดข้อมูลที่น่าสนใจ ดังหัวข้อต่อไปนี้
สำหรับ การค้นพบ ไดโลโฟซอรัส เริ่มต้นขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 1942 พบโดยนักบรรพชีวินวิทยา ชาร์ลส์ ลูอิส แคมป์ เขาได้นำคณะสำรวจภาคสนาม จากพิพิธภัณฑ์บรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ออกค้นหาฟอสซิลของสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ในเคาน์ตี้นาวาโฮ ทางตอนเหนือของรัฐแอริโซนา
การออกสำรวจพื้นที่ชั้นหิน Kayenta ใกล้กับตัวเมืองทูบาซิตี้ พบโครงกระดูกไดโนเสาร์ 3 โครง โครงกระดูกแรกมีลักษณะที่เกือบสมบูรณ์ ขาดเพียงแค่ส่วนหน้าของกะโหลกศีรษะ โครงกระดูกที่สองถูกกัดเซาะจนทำให้ส่วนหน้าหายไป และส่วนโครงกระดูกที่สาม ถูกกัดเซาะจนเหลือเพียงแค่กระดูกสันหลัง
ต่อมาได้มีการแก้ไขการยืดของผนัง ตามโครงกระดูกใหม่ โดยซ่อมแซมสันกระดูก และทำกระดูกเชิงกรานขึ้นมาใหม่ ทำให้ซี่โครงคอยาวขึ้น และจัดวางให้ชิดกันมากขึ้น หลังจากการศึกษาโครงกระดูก ที่ค้นพบในอเมริกาเหนือและยุโรป พบว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับไดโนเสาร์ เมกาโลซอรัส [1]
มีข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากพบฟอสซิลหรือไม่?
การประมาณน้ำหนักและขนาดของไดโนเสาร์ Dilophosaurus นั้นมีความแตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปไดโนเสาร์ชนิดนี้ มีความยาว 20-23 ฟุต มีความสูงประมาณ 6 ฟุต เมื่อวัดจากสะโพก ถือว่าเป็นนักล่าที่น่ากลัว ดุร้าย และน่าเกรงขาม ในสภาพแวดล้อม ที่พวกมันอาศัยอยู่ ในช่วงต้นยุคจูราสสิก
ไดโลโฟซอรัสมีน้ำหนักระหว่าง 660-990 ปอนด์ ทำให้พวกมันเป็นนักล่า ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม การประมาณค่าเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับหลักฐานฟอสซิลที่พบ และอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตัวอย่าง ซึ่งฟอสซิลตัวอย่างบางส่วน ดูเหมือนจะมาจากไดโนเสาร์ที่ยังไม่โตเต็มวัย
และตัวอย่างฟอสซิลบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างที่ผอมบาง ในขณะที่บางตัวอย่าง ชี้ให้เห็นถึงฟอสซิลที่แข็งแรงกว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ไดโลโฟซอรัสน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 800 ปอนด์ ทำให้มันมีความคล่องตัว ในขณะที่ออกล่าเหยื่อ ผสมผสานกับความแข็งแรงของร่างกาย ที่จำเป็นที่จะต้องเอาชนะเหยื่อให้ได้
ที่มา: Interesting Points about Dilophosaurus [2]
สำหรับ Dilophosaurus ที่เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่มีการค้นพบในอเมริกาเหนือ ย้อนกลับไปในช่วงต้นยุคจูราสสิก นักล่าในช่วงเวลานั้น ยังถือว่าขาดคุณสมบัติการล่าขั้นสูง ตัวอย่าง พวกมันไม่มีดวงตาที่หันไปข้างหน้า และไดโนเสาร์ชนิดนี้ จะต้องอาศัยประสาทรับกลิ่นที่ไว เพื่อชดเชยการมองเห็นที่ขาดหาย
พวกมันมีฟันเรียวยาว โค้งไปด้านหลังเล็กน้อย ขากรรไกรที่ยาว ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายท่านตีความไว้ว่า โครงสร้างขากรรไกรของมัน มีลักษณะที่อ่อนแอ จึงทำให้มันถูกจัดเป็นไดโนเสาร์กินซากสัตว์ มากกว่าจะเป็นนักล่า แต่หลักฐานชิ้นอื่นบ่งชี้ว่า แขนหน้าที่แข็งแรง ได้รับการดัดแปลงให้มีกรงเล็บในการจับเหยื่อ
ไดโนเสาร์ชนิดนี้ มีชีวิตอยู่ในยุคจูราสสิกตอนต้น เมื่อประมาณ 193 ล้านปีก่อน มันเป็นไดโนเสาร์ที่อาศัยอยู่บนบก แม้ว่านักวิทยาศาสตร์บางคน จะเชื่อว่ามันอาจอาศัยอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ และอาจล่าสัตว์น้ำเป็นอาหาร เพราะมีการค้นพบฟอสซิลได้ทั่วไปในชั้นหิน Kayenta ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐแอริโซนา
นอกจากนี้ยังมีการคาดเดาไว้ว่า พวกมันอาศัยและล่าเหยื่อเป็นกลุ่มเล็กๆ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ ก็ได้ขุดพบฟอสซิลของพวกมันหลายชิ้น ในสถานที่และบริเวณเดียวกัน การมีตราสัญลักษณ์บนมือของไดโนเสาร์ ยังบ่งบอกถึงพฤติกรรมทางสังคม หรือลำดับชั้นของพวกมัน
ศัตรูตามธรรมชาติของมัน ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ พวกมันเป็นนักล่าชั้นยอด และไม่มีสัตว์ชนิดใดที่ยืนหยัดท้าทายพวกมัน ต้องใช้เวลาหลายล้านปีกว่า ที่จะมีนักล่าขนาดใหญ่ชนิดใหม่เกิดขึ้น ได้แก่ อัลโลซอรัส และไทรันโนซอรัสรุ่นน้อง หลังจากที่มีการค้นพบ ฟอสซิล ทีเร็กซ์ ก่อนที่จะสูญพันธุ์ [3]
โดยรวมแล้ว หลังจากที่มีการค้นพบฟอสซิล จนนำไปสู่การวิเคราะห์ลักษณะกายวิภาค ทำให้รู้ว่าพวกมันมีรูปร่างและขนาดอย่างไร และมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ จุดเด่นของร่างกาย ทำให้พวกมันมีบทบาทในด้านวัฒนธรรมสมัยนิยม โลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง
นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่า พวกมันสามารถวิ่งได้เร็วถึง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง หลังจากที่มีการค้นพบรอยเท้า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า พวกมันเคลื่อนไหวเป็นฝูงขนาดเล็ก เช่นเดียวกับไดโนเสาร์ เวโลซีแรปเตอร์ และอาจใช้วิธีการล่าด้วยการซุ่มโจมตี
จากการปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ที่แสดงให้เห็นว่าพวกมันสามารถพ่นพิษ เพื่อทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตและตาบอด แต่ในความเป็นจริงนั้น ยังไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ยืนยันว่ามันมีความสามารถด้านนี้